มีงานวิจัยมากมายที่พูดถึงคน 3 กลุ่มในที่ทำงานที่มีคุณลักษณะแตกต่างกันออกไปในองค์กร ซึ่งคนทำงานอย่างท่านทั้งหลายรู้จักและประสบพบเห็นอยู่เสมอๆ เรียกว่า คน 3 G (ที่ไม่ใช่เครือข่ายโทรศัพท์) แต่เป็นคน 3 รุ่นที่เกี่ยวข้องต้องทำงานร่วมกันในองค์กร
รุ่นที่หนึ่ง ไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือรุ่น Baby Boom เป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489-2507 นับอายุก็ราวๆ 46 - 64 ปี เป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทน ทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญกับผลงาน ทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว คนกลุ่มนี้จะจงรักภักดีกับองค์กร
รุ่นที่สอง Generation X คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 อายุ 31-45 ปี มี ลักษณะพฤติกรรมชอบอะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง ไม่พึ่งพาใคร มีความคิดเปิดกว้าง พร้อมรับฟังข้อติติง เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง
รุ่นที่สาม Generation Y คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2543 อายุ 20-30 ปี เป็นกลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี เป็นวัยที่เพิ่งเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน มีลักษณะนิสัยชอบแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบอยู่ในกรอบ และไม่ชอบเงื่อนไข ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน (Work-life Balance) อีกทั้งยังมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร และยังสามารถทำงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน
คนทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR) ที่ดีควรต้องทำความรู้จักคนทั้ง 3 กลุ่มนี้ และเข้าใจให้ถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเจเนอเรชั่นวาย (Gen-Y) เนื่องจากในปัจจุบัน คนกลุ่มนี้กำลังไหล่เข้าสู่องค์กรจำนวนมาก ซึ่งรูปแบบการทำงานและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นนี้แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนๆ ที่ได้กล่าวถึงแล้ว สำหรับภาคราชการ เราก็ให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้อย่างยิ่งยวดเช่นกัน ดังเช่นป้าหมายหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 และแผนบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2551-2554 คือการมุ่งผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพในทุกสาขาและการพัฒนาสมรรถนะของข้าราชการ เพื่อให้สามารถรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในส่วนของ ก.พ. เอง ก็ยังมีอนุกรรมการชุดหนึ่งที่ว่าด้วยการเตรียมกำลังคนภาครัฐ
สำนักงาน ก.พ. โดย อ.ก.พ. เตรียมกำลังคนภาครัฐจึงได้กำหนดให้มีโครงการเพื่อดึงดูดผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามารับราชการ โดยมีแนวทางที่จะเดินหน้าเข้ามหาวิทยาลัย เฟ้นหานักศึกษาคุณภาพที่กำลังจะศึกษาในปีสุดท้ายของหลักสูตรปริญญาตรี (ปริญญาตรี ปี 3) ในสาขาต่างๆ อาทิ เศรฐศาสตร์ บัญชี บริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ฯลฯ พร้อมเสนอเงื่อนไขการทำงานในหน่วยงานชั้นนำของราชการ 12 หน่วยคือ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมสรรพากร สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมชลประทาน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรธรณี สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมราชทัณฑ์ กรมบังคับคดี และกรมสุขภาพจิต พร้อมทั้งยื่นเงื่อนไขดีๆ เช่นให้ทุนเรียนต่อในระดับปริญญาโทในหรือต่างประเทศก็ได้ ด้วยทุนรัฐบาลเพื่อดึงดูดผู้มีศักยภาพสูงที่กำลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศ (Undergraduate Intelligence Scholarship)หรือ ทุน UIS
ในช่วงแรกของทุน UIS น้องๆนักศึกษาจะได้รับทุนระยะที่ 1 สำหรับเรียนในชั้นปีที่ 4 จนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี และบรรจุเป็นข้าราชการในหน่วยงานต้นแบบที่ได้เลือกไว้ เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นจะได้รับทุนระยะที่ 2 เพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาโทในต่างประเทศ ระหว่างที่ได้รับทุน สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานต้นสังกัดยังวางแผนการฝึกอบรม ฝึกงาน ตลอดจน กิจกรรมพัฒนาต่างๆ เพื่อให้ได้รู้จักงานราชการ ปูพื้นฐานความรู้ที่จำเป็น มีการศึกษาดูงานหน่วยงานราชการทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค สัมผัสกับปัญหาและความต้องการของประชาชน เพื่อพร้อมที่จะทำงานได้ทันทีเมื่อเรียนจบ งานราชการในปัจจุบันต้องการคนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออกจำนวนมากเพื่อให้มาช่วยปรับเปลี่ยนและพัฒนาประเทศกันมากๆ
โดยราชการได้มีโครงการต่างๆที่สนับสนุนให้ข้าราชการรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพในการทำงาน มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องและเป็นระบบ ตัวอย่างเช่นโครงการระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูง (High Performance and Potential System: HiPPS) ดังนั้น น้องๆ คนรุ่นใหม่ที่สนใจจะเป็นข้าราชการไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีโอกาสทางก้าวหน้าเพราะสามารถที่จะพิสูจน์ผลงานและศักยภาพของตนเองแล้วเข้าสู่ระบบข้าราชการผู้มีผลสัมฤทธิ์สูงได้ ระบบที่ว่านี้จะวางเส้นทางความก้าวหน้าที่เหมาะสมให้กับ HiPPS ที่อยู่ในระบบทุกคน เพื่อให้ได้ทำงานที่ท้าทาย หลากหลาย สอดคล้องกับศักยภาพของแต่ละคนค่ะ นอกจากนี้ ปัจจุบันมีระบบการทำงานบน IT ที่แพร่หลายแล้ว จะช่วยสนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่และยังให้ความสำคัญกับหลักการความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน ด้วยโปรแกรมสวัสดิการและนันทนาการที่หลากหลายในหน่วยงานต่างๆ มากขึ้นอีกด้วย
ดร. ชุติมา หาญเผชิญ
มกราคม 2553