โดยที่เป็นการสมควรกำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธิีการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 31 (5) และ (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ก.พ.ค. จึงออกระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบ ก.พ.ค. ว่าด้วยคุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ พ.ศ. 2551”
บุคคลซึ่งจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ให้มีวาระการดำรงตำแหน่งหกปี นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง ผู้ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้ว อาจได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์อีกได้โดยวิธีการประเมินหรือวิธีการคัดเลือกตามที่ ก.พ.ค. กำหนด
ให้กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข๋ ซึ่งพ้นจากตำแหน่งตามวาระอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าทีี่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ใหม่
กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ต้องทำงานเต็มเวลา
นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ กรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้นำข้อ 6 ถึงข้อ 9 มาใช้บังคับ
ให้ ก.พ.ค. เป็นคณะกรรมการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ และให้เลขาธิการ ก.พ. หรือผู้ที่เลขาธิการ ก.พ. มอบหมายเป็นเลขานุการ
ให้ประธาน ก.พ.ค. ออกประกาศรับสมัครบุคคลทั่วไปเข้ารับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ โดยกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งที่คัดเลือก คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร การรับสมัคร การสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ การประเมินประสบการณ์หรือผลงานและการตรวจสุขภาพ การรับฟังความคิดเห็นและการประกาศผลสอบ
การคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้เป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ให้ดำเนินการโดยวิธีการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้สมัคร ทดสอบความรู้โดยการสอบข้อเขียน ตรวจสุขภาพ ประเมินประสบการณ์หรือผลงาน พิจารณาความเหมาะสมโดยจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของบุคคลในแวดวงกฎหมายและการบริหารราชการแผ่นดิน สัมภาษณ์ แล้วจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกโดยให้บัญชีรายชื่อดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาไม่เกินสองปีนับแต่วันประกาศผลการคัดเลือกหรือเม่อมีการประกาศรับสมัครใหม่ และแต่งตั้งบุคคลจากบัญชีรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกให้ทำหน้าที่เป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ ในกรณีที่ผู้ได้รับคัดเลือกไม่อาจได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าท่ี่ดังกล่าวหรือกรณีที่มีตำแหน่งว่างลงและบัญชีรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกยังไม่หมดอายุ ให้คัดเลือกบุคคลลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกขึ้นแต่งตั้งให้เป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
ผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ผู้ใดมีลักษณะต้องห้ามตามข้อ 3 ผู้นั้นต้องลาออกจากการเป็นบุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวและส่งหลักฐานให้เป็นที่เชื่อถือได้ว่าตนได้เลอกการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพหรือการประกอบการอันมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวต่อเลขานุการ ก.พ.ค. ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับการคัดเลือก
ในกรณีที่ผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์มิได้ลาออกหรือเลิกการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพหรือการประกอบการดังกล่าวในเวลาที่กำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นมิเคยได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ และให้ดำเนินการแต่งตั้งผู้สอบคัดเลือกได้ในลำดับถัดปในบัญชีรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์หรือกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ หรือจะดำเนินการคัดเลือกใหม่ก็ได้
การดำเนินการใด ๆ ตามระเบียบนี้ ก.พ.ค. จะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใดก็ได้
ให้ประธาน ก.พ.ค. รักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอำนาจออกประกาศหรือคำสั่งเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้
ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ประธาน ก.พ.ค. อาจหารือที่ประชุม ก.พ.ค. เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยก็ได้
ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
นายศราวุธ เมนะเศวต
ประธานกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม