โดยที่เป็นการสมควรเพิ่มพูนประสิทธิภาพของข้าราชการโดยการให้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ เพื่อให้ข้าราชการมีความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 (5) และมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ก.พ. จึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้
ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยการเพิ่มพูนประสิทธิภาพของข้าราชการโดยการให้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ พ.ศ. 2554”
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ในระเบียบนี้
“หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัด” หมายความว่า ปลัดกระทรวงในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานปลัดกระทรวง ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีในฐานะบังคับบัญชาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่ากรม
หน่วยงานอื่นในประเทศที่จะให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานตามระเบียบนี้ ได้แก่
(1) ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้น ตามพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา หรือตามมติคณะรัฐมนตรี
(2) องค์การระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
(3) หน่วยงานภาคเอกชนที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและได้รับการจัดให้มีดัชนีราคาในตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่สุดหนึ่งร้อยอันดับแรก หรือได้รับการจัดอันดับว่ามีธรรมาภิบาลในระดับดีมาก หรือดีเลิศ
(4) หน่วยงานภาคเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร และมีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภารกิจของส่วนราชการต้นสังกัด ตามที่ อ.ก.พ. กรมให้ความเห็นชอบ
(5) หน่วยงานอื่นตามที่ ก.พ. กำหนด
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามระเบียบนี้ การไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศให้หมายความรวมถึงการไปปฏิบัติงานในประเทศกับผู้ซึ่งหัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดเห็นว่ามีองค์ความรู้ในเชิงลึกที่เป็นประโยชน์กับภารกิจของส่วนราชการ และเป็นผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ หรือได้รับรางวัลดีเด่นระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ
ให้ ก.พ. มีอำนาจกำหนดรายละเอียดเพื่อปฏิบัติตามระเบียบนี้ และวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการใช้บังคับตามระเบียบนี้ รวมทั้งพิจารณายกเว้นการปฏิบัติตามข้อใดข้อหนึ่งแห่งระเบียบนี้ด้วย ทั้งนี้ คำวินิจฉัยหรือผลการพิจารณาของ ก.พ. ให้เป็นที่สุด
ให้เลขาธิการ ก.พ. รักษาการตามระเบียบนี้
หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดอาจสั่งให้ข้าราชการผู้สมัครใจไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศตามระเบียบนี้ได้ โดยการไปปฏิบัติงานดังกล่าวต้องมีความสอดคล้องกับภารกิจ และทิศทางในการทำงานของส่วนราชการนั้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และต้องสามารถเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ข้าราชการผู้นั้นสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการในส่วนราชการต้นสังกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล
การสั่งให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานตามข้อ 7 หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดต้องคำนึงถึงอัตรากำลังที่มีอยู่ โดยให้มีผู้ปฏิบัติงานเพียงพอ ไม่ให้เสียหายแก่ราชการ และจะนำเหตุดังกล่าวมาขอตั้งอัตรากำลังเพิ่มไม่ได้
ส่วนราชการต้นสังกัดต้องกำหนดแผนพัฒนาเฉพาะบุคคลสำหรับผู้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศให้สอดคล้องกับภารกิจของส่วนราชการทั้งในปัจจุบันและในอนาคตและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะมอบหมายให้ข้าราชการผู้นั้นปฏิบัติเมื่อกลับจากการไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นดังกล่าว โดยการมอบหมายหน้าที่นั้นจะต้องสอดคล้องกับความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ที่ได้รับเพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามภารกิจของส่วนราชการต้นสังกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับแผนพัฒนาเฉพาะบุคคลที่กำหนดไว้
ข้าราชการที่จะไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้
(1) อายุไม่เกินสี่สิบปีบริบูรณ์ ในวันที่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ที่หน่วยงานอื่นในประเทศ
(2) รับราชการมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
(3) มีสมรรถนะสอดคล้องกับลักษณะงานที่จะไปปฏิบัติ และมีผลงานเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชา
(4) เป็นผู้ที่ผู้บังคับบัญชารับรองว่ามีความสามารถสูง มีความกระตือรือร้น สามารถเรียนรู้ได้เร็วในสภาพแวดล้อมใหม่ มีความประพฤติดีและตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ
(5) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกดำเนินการทางวินัยหรือเป็นจำเลยในคดีอาญาซึ่งมิใช่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
(6) ถ้าเป็นผู้ที่เคยไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศมาแล้ว จะต้องกลับมาปฏิบัติราชการแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปปฏิบัติงานในคราวก่อนนั้น
การสั่งให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ ให้หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดพิจารณาเรื่อง ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาลักษณะงานของหน่วยงานอื่นในประเทศที่จะให้ข้าราชการไปปฏิบัติ ซึ่งจะต้องเป็นงานที่ข้าราชการไปปฏิบัติแล้วจะได้รับองค์ความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ตรงตามความต้องการของส่วนราชการต้นสังกัด ตลอดจนเหมาะสมกับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ข้าราชการผู้นั้นได้รับมอบหมายในปัจจุบันหรือที่จะได้รับมอบหมายในอนาคต
(2) พิจารณาลักษณะของหน่วยงานอื่นในประเทศที่จะให้ข้าราชการไปปฏิบัติงาน ซึ่งจะต้องเป็นหน่วยงานที่มีองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภารกิจของส่วนราชการต้นสังกัด
(3) พิจารณากำหนดระยะเวลาที่จะสั่งให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศซึ่งจะต้องไม่เกินหนึ่งปี ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นเพื่อที่จะให้ได้ประสบการณ์มาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดอาจพิจารณาขยายเวลาให้ปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นนั้นต่อไปได้อีกไม่เกินหนึ่งปี
ก่อนสั่งให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดจัดทำข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นนั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้
(1) วัตถุประสงค์ แผนงาน โครงการที่จะให้ข้าราชการไปปฏิบัติงาน ขอบเขตของงาน ระยะเวลา และแผนการปฏิบัติงาน
(2) การประเมินผลการปฏิบัติงานซึ่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนดตามมาตรา 76 หรือตามที่ส่วนราชการต้นสังกัดและหน่วยงานอื่นนั้นจะได้ตกลงกัน โดยให้ส่วนราชการต้นสังกัดเป็นผู้ประเมิน และหน่วยงานอื่นที่รับข้าราชการไปปฏิบัติงานเป็นผู้ให้ข้อมูลและความเห็นประกอบการประเมิน
(3) ค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่นที่ข้าราชการจะพึงได้รับจากส่วนราชการต้นสังกัดและจากหน่วยงานอื่นในประเทศที่ไปปฏิบัติงาน ซึ่งต้องไม่มีผลให้ได้รับซ้ำซ้อนกัน
ข้าราชการผู้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศตามข้อ 4 (2) (3) (4) (5) และวรรคสองเกินกว่าหกเดือน ต้องทำสัญญาตามแบบที่สำนักงาน ก.พ. กำหนด
ในระหว่างที่ข้าราชการปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ การใดที่ข้าราชการจะต้องขออนุมัติ ขออนุญาต หรือขอความเห็นชอบตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด ข้าราชการดังกล่าวยังคงต้องถือปฏิบัติเช่นเดิม แต่ถ้าเป็นวันเวลาทำงาน วันหยุดตามประเพณี วันหยุดประจำปี และการลาหยุดในขณะที่ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของหน่วยงานอื่นนั้น
ข้าราชการผู้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศต้องปฏิบัติตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างส่วนราชการต้นสังกัดกับหน่วยงานอื่นที่ข้าราชการไปปฏิบัติงาน และต้องปฏิบัติตามระเบียบของหน่วยงานอื่นที่ไปปฏิบัติงานด้วย
ข้าราชการผู้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศผู้ใดไม่ปฏิบัติตามข้อ 14 หรือข้อ 15 ผู้บังคับบัญชาอาจพิจารณาดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างดังนี้
(1) ตักเตือน หรือดำเนินการทางวินัยตามควรแก่กรณี
(2) สั่งให้ยุติการปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นนั้นและให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ
การไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศตามระเบียบนี้ให้ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ และผลการปฏิบัติงานดังกล่าวให้ถือเป็นผลการปฏิบัติราชการตามมาตรา 76
ในระหว่างการปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศ หากหัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดเห็นว่าการให้ข้าราชการผู้ใดปฏิบัติงานนั้นต่อไปจะไม่เกิดประโยชน์ตามความต้องการของส่วนราชการหรือผลการประเมินตามข้อ 12 (2) ปรากฏว่าข้าราชการผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างส่วนราชการต้นสังกัดและหน่วยงานอื่น หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดอาจสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการก่อนครบกำหนดก็ได้
เมื่อครบกำหนดเวลาที่ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศหรือถูกสั่งให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการก่อนครบกำหนดตามข้อ 16 (2) หรือข้อ 17 ให้ข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นรายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการในส่วนราชการต้นสังกัดโดยพลัน และจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานทั้งหมดเสนอต่อหัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัด
ให้ส่วนราชการต้นสังกัดจัดให้ข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศดำเนินการเผยแพร่องค์ความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รับจากการไปปฏิบัติงานดังกล่าว
เพื่อประโยชน์ในการบริหารทรัพยากรบุคคลของข้าราชการพลเรือน ให้หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดแจ้งให้สำนักงาน ก.พ. ทราบ เมื่อ
(1) ได้สั่งการให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศแล้ว
(2) ได้รับรายงานผลการปฏิบัติงานของข้าราชการดังกล่าวตามข้อ 18 แล้ว
ข้าราชการผู้ไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานอื่นในประเทศตามระเบียบนี้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทน สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่นจากทางราชการตามกฎหมาย หรือระเบียบว่าด้วยการนั้น ตลอดจนมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนและประโยชน์อื่นจากหน่วยงานอื่นที่ไปปฏิบัติงานตามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างส่วนราชการต้นสังกัดและหน่วยงานอื่น
ประกาศ ณ วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี
ประธาน ก.พ.